ธาตุ สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งสภาพของตนจริงแท้ เป็นสภาวะที่ยืนให้พิสูจน์ ยืนให้รู้ ยืนให้เห็น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ชีวะหมายความว่า ปราศจากอาการของสัตว์ ปราศจากอาการของชีวะ คือไม่มีการไป การมา การกิน การนอน และการประกอบกิจอย่างอื่น ไม่มีชีวิตที่เที่ยงอยู่เสมอ ฉะนั้นจึงเรียกว่า ธาตุ มีอยู่ ๑๘ ด้วยกัน คือ๑๑. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุกระทบ)๑๓. จักขุวิญญาณธาตุ (ธาตุเห็น)๑๔. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุได้ยิน)๑๕. ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้กลิ่น)๑๖. ชิวหาวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้รส)๑๗. กายวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ถูกต้องทางกาย)๑๘. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ทางใจ)รวมเป็น ธาตุ ๑๘ นี้ถือเอาสภาวะปรมัตถ์ ก็เหมือนกับ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เช่นเดียวกัน ดังจะแสดงสงเคราะห์เข้ากันดังนี้๑. จักขุธาตุ คือ จักขุปสาทรูป๒. โสตธาตุ คือ โสตปสาทรูป๓. ฆานธาตุ คือ ฆานปสาทรูป๔. ชิวหาธาตุ คือ ชิวหาปสาทรูป๕. กายธาตุ คือ กายปสาทรูป๖. มโนธาตุ คือ สัมปฏิจฉนจิต ๒ ดวง กับ ปัญจทวาราวัชชนะ ๑ ดวง๘. สัททธาตุ คือ สัททารมณ์๙. คันธธาตุ คือ คันธารมณ์๑๑. โผฏฐัพพธาตุ คือ โผฏฐัพพารมณ์๑๒. ธัมมธาตุ คือ เจตสิก ๕๒ สุขุมรูป ๑๖ และพระนิพพาน ๑๑๓. จักขุวิญญาณธาตุ คือ จักขุวิญญาณจิต ๒ ดวง๑๔. โสตวิญญาณธาตุ คือ โสตวิญญาณจิต ๒ ดวง๑๕. ฆานวิญญาณธาตุ คือ ฆานวิญญาณจิต ๒ ดวง๑๖. ชิวหาวิญญาณธาตุ คือ ชิวหาวิญญาณจิต ๒ ดวง๑๗. กายวิญญาณธาตุ คือ กายวิญญาณจิต ๒ ดวง๑๘. มโนวิญญาณธาตุ คือ มโนวิญญาณจิต ๗๖ ดวงอนึ่ง ธาตุ ๑๘ นี้ เมื่อจัดเป็นพวกๆ ได้ ดังนี้ คือ
ธาตุรับ | ธาตุกระทบ | ธาตุรู้ |
จักขุธาตุ | รูปธาตุ | จักขุวิญญาณธาตุ |
โสตธาตุ | สัททธาตุ | โสตวิญญาณธาตุ |
ฆานธาตุ | คันธธาตุ | ฆานวิญญาณธาตุ |
ชิวหาธาตุ | รสธาตุ | ชิวหาวิญญาณธาตุ |
กายธาตุ | โผฏฐัพพธาตุ | กายวิญญาณธาตุ |
มโนธาตุ | ธัมมธาตุ | มโนวิญญาณธาตุ |
สำหรับ ธาตุ ๑๘ นี้เมื่อย่นลงแล้ว คงเป็นรูป เป็นนามเท่านั้น ดังนี้ คือจักขุวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมโสตวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมฆานวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมชิวหาวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมกายวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมธรรมธาตุ เป็นรูปธรรมและนามธรรมมโนวิญญาณธาตุ เป็นนามธรรมรวมความว่า ธาตุ ๑๘ จัดเป็นรูปธรรม ๑๐ เป็นนามธรรม ๗ เป็นทั้งรูปธรรม-นามธรรม ๑ หรือจะเรียกธาตุนี้ว่า รูปธาตุ-นามธาตุ ก็ได้อีกอย่างหนึ่ง ธาตุ ๑๘ นี้ก็คือ ธาตุ ๖ นั่นเอง ได้แก่ ปฐวี-อาโป-เตโช-วาโย-อากาศ-วิญญาณธาตุ นั่นเองอัตตภาพร่างกายของคนและสัตว์ ถูกคุมเข้าจากธาตุทั้งหลายเหล่านี้ จะสูง จะต่ำ จะดำ จะขาว เป็นต้นก็แล้วแต่ ส่วนผสมของธาตุทางธรรม ยังไม่จัดว่าเป็นบุญเป็นบาป นับแต่ในขณะที่ธาตุผสมกัน มาถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา เขาก็ให้สมัญญาว่า คน พอคลอดออกมาก็เป็น คน ทีเดียว แต่ยังไม่ดี ไม่ชั่ว จะให้ดี ให้ชั่ว ต้องหาใส่ใหม่เหมือน แก้วเปล่า ถ้าเราหาน้ำมาใส่ เขาก็เรียกว่า แก้วน้ำ เอายามาใส่ เขาก็เรียกว่า แก้วยา ถ้าเอาน้ำฝนมาใส่เขาก็เรียกว่า แก้วน้ำฝน ถ้าเอาเครื่องดื่มมาใส่ เขาก็เรียกว่า แก้วเครื่องดื่ม ถ้าหาเหล้ามาใส่ เขาก็เรียกว่า แก้วเหล้า ฉันใด คนเรา ก็เหมือนกัน จะให้ดีหรือชั่ว ต้องหาใส่ใหม่ ถ้าหาชั่วมาใส่ ก็เป็น คนชั่ว เป็นพาล เป็นนักเลง นักปล้น เป็นต้น ถ้าหาดีมาใส่ ก็เป็น คนดีเหมือนกันกับพวกเราทำอยู่ทุกวันนี้ เราขนเอาความชั่วเก่าออกทิ้ง แล้วขนเอาความดี คือทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สมาบัติ มรรค ผล พระนิพพาน เข้าไปก็เรียกว่า คนดี คนมีทาน คนมีศีล ผู้ได้สมาธิ คนมีปัญญา คนเป็นพระอริยบุคคล คือเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ ดังนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น